The Way of Water เจคกำเนิดจากสายน้ำ กับคอนเซปท์แฟมิลี่แมน
The Way of Water หรือ Avatar 2 จะห่างจากภาคแรก 10 ปี โดยปู่ เจมส์ คาเมรอน กลับมาสร้างต่อจากที่แกบอกไว้ว่าจะสร้าง 5 ภาค แน่นอนว่าพระเอกก็คนเดิม เจค ซัลลี (Sam Worthington) อดีตนาวิกโยธินในร่างชาวนาวี ณ ตอนนี้กลายเป็นพ่อคนแล้ว เพราะหลังจากที่เธอรักกับ เนย์ทีรี (Zoe Saldana) ทั้งสองคนก็มีลูกด้วยกัน ทั้งลูกจริง ๆ อย่าง เนเทยัม (Jamie Flatters) พี่ชายคนโต, โลอัค (Britain Dalton) น้องชายคนเล็ก, ตุกทีรี (Trinity Jo-Li Bliss) น้องสาวคนสุดท้อง รวมทั้งลูกบุญธรรมครึ่งคนครึ่งอวตารอย่าง คิริ (Sigourney Weaver) และ สไปเดอร์ (Jack Champion) เด็กมนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเยี่ยงชาวนาวี เพราะโดนทิ้งไว้บนดาว ตอนคนหนีออกไปช่วงจบสงครามในภาคแรก และเรื่องราวในภาคนี้ก็นั่นแหละ เล่าต่อจากการที่พวกเจคไล่ sky people หากจุกตูดไป ทำให้ซัลลีและเนย์ทีรีตกเป็นเป้าของ พันเอกไมล์ ควอริตช์ (Stephen Lang) ที่เคยโดนธนูของเนย์ทีรี ซัดม่องเท่งคาหุ่นยนต์ไปในภาคที่แล้ว (Somehow return)
เป้าหมายของหน่วยงาน RDA (Resource Development Administration) ชื่อเต็มอย่างยาว เปลี่ยนจุดประสงค์จากการขุดหาแร่ ไปสู่การหาพื้นที่เพื่อให้มนุษย์ตั้งรกรากอาศัย ทำให้การรุกรานพื้นที่ของชาวนาวีบนดาวแพนโดรายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น พวกเขาก็เลยจำต้องย้ายอพยพไปอยู่ในดินแดนแห่งสายน้ำร่วมกับชนเผ่าทะเลที่เรียกว่า เม็ตคายีนา (Metkayina) ณ ที่นั้น โตโนวารี (Cliff Curtis) หัวหน้าเผ่า, โรนัล (Kate Winslet), ศิเรยา (Bailey Bass) และ อาวนุง (Filip Geljo) จึงต้องสอนครอบครัว ของซัลลีให้อยู่กับวิถีแห่งสายน้ำให้ได้ พร้อมกับต้องรับมือกับภัยคุกคามที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม สิ่งที่ต้องขอชื่นชมอย่างแน่ ๆ แบบที่ไม่ต้องเดาอะไรให้วุ่นวายก็คงหนีไม่พ้นวิสัยทัศน์ของ เจมส์ คาเมรอน นั่นแหละ เพราะว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การผลักดันเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพสามมิติในภาคนี้นั้นไปไกลกว่าภาคแรก และไกลกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ไปไกลมาก โดยเฉพาะงานวิชวลเอฟเฟกต์ที่เรียกว่าหาจุดหลุดได้ยากจริง ๆ มันสมจริงในทุกรายละเอียด ตั้งแต่ผืนน้ำ สัตว์ใต้น้ำ ปะการัง พืชทะเล ที่สวยตื่นตาตั้งแต่ช็อตแรกจนถึงช็อตสุดท้าย ทั้งการทำ Motion Capture ใต้น้ำที่ทำให้ชาวนาวีสามารถดำดิ่งในน้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติและพลิ้วไหวอย่างกับไปดูหนังออนไลน์ในทะเลจริง ๆ แน่นอนว่าฉากนึงนี่งบบาน เอาไปถ่ายทะเลจริงได้อีก 10 เรื่อง
รวมทั้งการถ่ายทำด้วยเทคนิค High Frame Rate ที่ในหนังจะใช้เฟรมเรต 2 แบบสลับกันไปนะ คือในฉากที่แอ็กทีฟเยอะ ๆ อย่างเช่นฉากแอ็กชัน ฉากบิน ฉากวิ่ง ก็จะใช้ Frame Rate ที่ 48 เฟรมต่อวินาที ส่วนฉากอื่น ๆ ก็จะกลับมาใช้ 24 เฟรมตามปกติ เพื่อให้ยังคงอารมณ์ความเป็น Cinematic ของหนัง ซึ่งอาจจะทำให้ความลื่นของภาพดูไม่สม่ำเสมอบ้าง แต่ในแง่ฟังก์ชันก็ถือว่าได้ผลและไม่ได้ถือว่าน่ารำคาญตารำคาญใจอะไร ยิ่งถ้าดูในระบบสามมิติจะยิ่งเห็นความแตกต่างเลยว่ามันไม่ใช่แค่ภาพเด้งป๊อปอัปเฉย ๆ แต่มันมีความลึก ความโค้งนูน ความคม สีสันที่สมจริงซะจนบางทีผมยังแอบสะดุ้ง โดยเฉพาะซีนที่เป็น 48 เฟรมนี่คือลื่นหูตาแตกไปเลย คือสำหรับคนทำหนัง หรือคนที่สนใจเรื่อง CG และวิชวล รายละเอียดพวกนี้คือฟินน้ำแตก
และเทคโนโลยี HDR (High Dynamic Range) ที่ช่วยให้ขอบเขตสีและคอนทราสต์ แสงและเงาที่คมชัดลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิม ถ้าเทียบกับระบบสามมิติในภาคแรก จะเห็นเลยว่ามันแตกต่างจากภาคแรกเยอะมาก รวมทั้งงานวิชวลเอฟเฟกต์ที่จะนับว่าเป็นที่สุดของวงการดูหนังโลกไปเลยก็ได้ เพราะนอกจากจะสวยงาม และมีความครีเอทีฟในการออกแบบทั้งพาร์ตธรรมชาติ ระบบนิเวศใต้ทะเล สัตว์น้ำ หรือแม้แต่พาร์ตเทคโนโลยีของ RDA ก็ตาม จะบอกว่าคาเมรอนได้เนรมิตโลกใบใหม่ขึ้นมาอันนี้ก็ถือว่าไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะมันไม่ใช่แค่สวย ไม่ลอยเฉย ๆ แต่มันสมจริงและเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ชวนให้ตื่นตา ชนิดที่บรรดาหนังซูเปอร์ฮีโรยุคนี้ควรศึกษางานอย่างเร่งด่วน
วิสัยทัศน์อีกอย่างของลุงคาเมรอนก็คือเรื่องของบท ในขณะที่ภาคแรกนั้นมีความเป็นการเมื้องการเมือง ด้วยเรื่องเล่าในประเด็นเกี่ยวกับการล่าอาณานิคม การแย่งชิงทรัพยากร การสู้รบกับชนพื้นเมือง ฯลฯ แต่ในภาคนี้ ด้วยความที่เรารู้จักชาวนาวีมาตั้งแต่แรก ตัวหนังก็เลยเปิดเรื่องเร็ว ๆ และหันไปโฟกัสที่ครอบครัวของซัลลีและเนย์ทีรีแทน โทนของตัวหนังก็เลยมีความเป็นหนังครอบครัว กึ่ง ๆ หนังชีวิตวัยรุ่นว้าวุ่นของเหล่าบรรดาลูก ๆ ที่ต่างก็มีปมปัญหาแตกต่างกันไป จากการที่มีทั้งลูกครึ่งอวตารแท้ ๆ ลูกครึ่งอวตารไม่แท้ ไหนจะลูกมนุษย์แท้ ๆ ที่อยากเป็นชาวนาวีอีก จนพวกเขาเองต้องมาอยู่อาศัยตามวิถีแห่งสายน้ำ รวมทั้งต้องร่วมต่อสู้กับหน่วย RDA ที่คราวนี้ดูจะมุ่งหมายไปที่ครอบครัวซัลลีเป็นพิเศษ ที่ตัวหนังสามารถเล่าออกมาได้อินและทัชใจมากยิ่งขึ้น เสมือนว่าเราเองก็รู้สึก “I See You.” ไปกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน
เรื่องราวของตัวหนังในภาคนี้ ก็ยังคงยึดแนวทางจากภาคแรก นั่นก็คือการวางตามแบบฉบับหนังบล็อกบัสเตอร์ดี ๆ เรื่องหนึ่ง ที่มีครบทุกอารมณ์ ทั้งความน่ารัก ความตื่นตาตี่นใจ มีอารมณ์ขันแทรกเล็ก ๆ มีจังหวะเขย่าขวัญหน่อย ๆ มีประเด็นดราม่าขัดแย้งครอบครัว สังคม อุดมการณ์ และปิดจบที่งานแอ็กชันสุดมันที่ใส่มาจัดเต็มแบบยาว ๆ ทั้งหมดนี้ห่อหุ้มด้วยเนื้อเรื่องและพล็อตแนวหนังครอบครัว ที่ห่อหุ้มอยู่ในแพ็กเกจหนังไซไฟแฟนตาซีอีกที โดยเฉพาะการโฟกัสไปที่ดราม่าครอบครัวที่ดูหนังมาครบเลย ทั้งความรู้สึกแปลกแยก ความรู้สึกรักลูกไม่เท่ากัน การเอาลูกเขามาเลี้ยงเหมือนเอาเมี่ยงเขามาอม การเป็นคนแปลกหน้าในที่แปลกถิ่น มุมมองความรักของพ่อแม่และลูกที่แตกต่างกัน แต่ล้วนแล้วทำไปด้วยเจตนาห่วงใย ฯลฯ ทำให้หนังในภาคนี้ก็ยังคงมีเนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อน และเอาจริง ๆ ก็พอจะเดาเนื้อเรื่องออกได้แบบง่าย ๆ เลย แต่มันก็มีประโยชน์ในแง่ของการให้ความบันเทิงแบบครบรส ดูได้ทั้งครอบครัวที่ไม่จำเป็นต้องห่อหุ้มด้วยพล็อตไฮคอนเซปต์จัด ๆ หรือหักมุมพลิกหลายตลบ
แต่แม้ว่ามันจะเป็นหนังที่บันเทิงจ๋า ๆ แค่ไหน แต่จริง ๆ ก็ยังมีจุดที่เนือย ๆ อยู่ ด้วยความยาวมากกว่า 3 ชั่วโมง 12 นาที ส่วนตัวผมเองยอมรับว่าเกิดอาการเหมือนหลุดจากหนังไปชั่วครู่ใหญ่ ๆ เลย โดยเฉพาะตอนที่หนังโชว์ฉากใหญ่ ๆ มันให้ความรู้สึกเหมือนว่ากำลังดูสัตว์น้ำในอะควาเรียม และบางช่วงก็ดูคล้ายกับช็อตในสารคดีสัตว์ทะเลอยู่เหมือนกัน ถ้าเอาแง่ดีก็คือ มันเหมือนจริงขั้นสุดแบบ Hyper-Realistic คือเหมือนจริงจนกลายเป็นของจริงไปแล้ว แต่พอมันเป็นหนัง ก็ถือว่ากราฟความสนุกเกิดอาการตกท้องช้างอยู่พอสมควรเหมือนกันนะ ยังดีที่งานภาพที่สวยเนียนเพลินตายังพอช่วยให้ไม่รู้สึกเนือยเบื่อจนชวนให้ทอดถอนใจ และส่วนตัวผมแอบเสียดายนิด ๆ ที่ได้เห็นพิธีกรรมหรือ Know-How ของชาวเผ่าในแบบที่เคยได้เห็นในภาคแรกน้อยไปสักนิด ทั้งที่มีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้น
อีกอย่างที่ต้องไม่ลืมก็คือ ‘Avatar’ มันไม่ใช่หนังเดี่ยว แต่มันเป็นแฟรนไชส์หนัง 5 ภาคนะ แม้ว่าหนังภาคนี้จะสอบผ่านในแง่บันเทิง แต่ถ้าดูหนังออนไลน์โดยรวม ก็จะพบว่าทั้งสองภาคนั้นมีแนวทางและแกนเรื่องที่คล้ายกันมาก ๆ เลย ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ได้เป็นแก่นเรื่องและ Conflict ที่ใหม่สำหรับยุคนี้แล้วซะด้วย มันเป็นพล็อตที่ได้แรงบันดาลใจจากสื่ออื่น ๆ ของฮอลลีวูดที่มีมาก่อนแล้วทั้งนั้น ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่า คาเมรอนเองก็กำลังดูกระแสภาคนี้อยู่ เพราะถ้าหากรายได้ไม่ถึงเป้า ลุงแกก็เตรียมทำหมันแฟรนไชส์ไว้ที่ 3 ภาคถ้วน ซึ่งในความคิดของผมจริง ๆ มันก็สามารถมีโอกาสไปถึงภาค 5 ได้ โดยเฉพาะงานด้านโปรดักชันที่ผมเชื่อว่ายังพอจะมีช่องให้ดันมาตรฐานขึ้นไปได้อีก